นายสุฤกษ์ ศิลปอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระบุรี
ได้จัดกิจกรรมนำคณะสื่อสัญจร ลงพื้นที่เยี่ยมชม
วัฒนธรรม วิถีชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงาม
ชิมและรู้จักกับอาหารพื้นถิ่น ที่นับวันจะหารับประทานได้ยาก
ณ บ้านบกใหญ่ อำเภอหนองแซง สระบุรี
R-U-GO.COM ผอ.สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระบุรี เปิดเผยว่าขณะนี้ได้จัดโครงการ”ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยววิถีชาวนาในลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก”ขึ้น โดยได้จัดทำเส้นทางท่องเที่ยววิถีชาวนาในลุ่มน้ำเจาพระยา-ป่าสักรวม 6 จังหวัดภาคกลางตอนบน(สระบุรี,ลพบุรี,ชัยนาท,สิงห์บุรี,พระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง) โดยดึงเอาเสน่ห์ จุดเด่น อัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัดออกมาจัดเป็น 3 เส้นทางหลักๆได้แก่
เส้นทางที่ 1 จังหวัดสระบุรีและลพบุรี ซึ่งเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ที่หลากหลาย
เส้นทางที่ 2 จังหวัดชัยนาทและสิงห์บุรี ซึ่งเป็นเส้นทางอู่ข้าว อู่น้ำและอาหาร ปลาแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์
และเส้นทางที่ 3 คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและอ่างทอง ซึ่งเป็นเส้นทางของงานหัตถศิลป์หัตกรรม อันเป็นการเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตชุมชนที่บ่งบอกถึงตัวตน อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ที่ดีงามเอาไว้โดยผ่านเรื่องราวต่าง ๆ เช่น วิถีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของวิถีชาวนาในแต่ละชุมชน,ความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรมอันดีงาม ภูมิปัญญาท้องถิ่น อาหารพื้นบ้านรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ภายในกลุ่มจังหวัด ภาคกลางตอนบน เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น
วัดอู่ตะเภา อันซีนของ “อ.หนองแซง” ที่น่าจับตา
จุดแรกที่ไปถึงคือวัดอู่ตะเภา ศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านบกใหญ่
เพื่อสักการะหลวงพ่อขอม พระพุทธรูปที่แกะมาจากหินทราย มีอายุนับร้อยปี วัดอู่ตะเภาเดิมชื่อ “วัดอู่สำเภาทอง” ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านหนองอู่สำเภา หมู่ 6 ตำบลม่วงหวาน อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี
เป็นวัดเก่าแก่มีอายุกว่า 100 ปี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2431 มีการบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า ในอดีตบริเวณเมืองอู่ตะเภาเป็นตลาด มีทั้งการทำนา มีเรือเข้ามาค้าขาย และนำสินค้าพื้นเมืองมาค้าขายแลกเปลี่ยนกันที่นี่ บริเวณที่เป็นบึงในอดีตเป็นที่จอดเรือที่นำสินค้ามาค้าขายกันและเชื่อกันว่า บริเวณนี้เคยเป็นอู่ซ่อมเรือมาก่อน
วัดอู่ตะเภามีสิ่งบ่งบอกถึงความเก่าแก่ของวัดได้แก่อุโบสถ (โบสถ์มหาอุตม์) ขนาดกว้าง 5 เมตร ผนังก่ออิฐถือปูน มีประตูเข้าด้านทิศตะวันออกด้านเดียว 1 ช่อง หน้าต่างด้าน เหนือ 2 ช่อง
หลังคามุงด้วยกระเบื้องมีเพิงต่อด้านทิศตะวันออก ไม่มีช่อฟ้า ใบระกาหรือ หางหงส์ การก่อสร้างเรียบง่ายไม่มีลวดลายวิจิตรพิสดาร เพราะเป็นช่าง ล้วนเป็นชาวบ้านที่ช่วยกันตามศรัทธา มีกำาแพงแก้วล้อมรอบ
อุโบสถหลังนี้ตามจารึกที่ผนังบอก ว่าปฏิสังขรณ์เมื่อพ.ศ.2468 แสดงว่าอายุการก่อสร้างจริงคงพร้อมกับการตั้งวัดนี้
ส่วนเจดีย์ด้านหน้าอุโบสถสร้างขั้นภายหลังเมื่อพ.ศ.2474
นอกจากนี้ทางวัดยังได้ปรับปรุงศาลาการเปรียญให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม เพื่อรวบรวมของมีค่าของท้องถิ่นมารวมไว้ให้อาคันตุกะได้มาเรียนรู้
ร่วม “สำรวย” และ อิ่มท้องกับอาหารถิ่น…ที่บ้านบกใหญ่
ต่อมาทางคณะเดินทางต่อไปยังชุมชนบ้านบกใหญ่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าใดนัก เพื่อชมการทำอาหารพื้นบ้านยุคโบราณ ที่เรียกว่า
“ข้าวหยด”บอกได้คำเดียวว่า อร่อยมาก ส่วนหน้าตาของข้าวหยด
คล้ายต้มจืดฝักใส่ไก่ แต่ใส่แป้งที่บดมาจากข้าว หน้าตาคล้ายรอดช่องลงไปด้วย
ก่อนจะตบท้ายกันด้วยขนมเปียกปูน สูตรโบราณ ที่เหนียวนุ่มและหอม
จากนั้นทางคณะได้นั่งรถอีแต๊ก ไปชมนาข้าวและวิถีชุมชน ก็รู้สึกแปลกใจเพราะใช้วิธีหว่านข้าวลงในนาที่ปรับไถแล้ว
เรียกว่า”สำรวย”จากนั้นก็รอกันจนฝนจะตก จะได้ผลดีหรือไม่ ก็แล้วแต่ดวง ต่างกับการทำนาของชาวนาอยุธยา อ่างทอง สิงหบุรี ที่ปลูกข้าวกันปีละหลายหน เพราะมีแหล่งน้ำมากมาย
ส่วนอาชีพอื่น นอกจากทำนา ก็คือ การสานกระบุง และภาชนะเครื่องใช้ ทั้งเครื่องมือดักปลาหรือไซ ตาข้องใส่ปลา รวมถึงการถักพรมเช็ดเท้า แปลยวน ฯลฯ
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ฮอลลีวูดแห่งเมืองหระรี
จากนั้น เดินต่อไปยัง หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน ตั้งอยู่ เลขที่ 48 หมู่ 6 ต.ดาวเรือง อ.เมือง สระบุรี เพื่อไปชมบ้านเรือนไทย บ้านไม้โบราณอายุกว่า 200 ปี และศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวนในจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นกลุ่มชาวล้านนา ที่ถูกกวาดต้อนอพยพมาจากเมืองเชียงแสน เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว
หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน แห่งนี้ เกิดจากแรงบันดาลใจของอาจารย์ทรงชัย วรรณกุล ที่ต้องการจะอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน
ให้เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสืบสานมรดกทางด้านปัญญาและวัฒนธรรมชาติพันธ์ไทยวนสระบุรี ฝึกอบรมเยาวชนให้เรียนรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ศิลปะการแสดง
เช่นการฟ้องรำ
การทำอาหาร
สำรับขันโตก
ตัดกระดาษ การทำโคม ตุง งานใบตอง
งานทอผ้า ย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติและใช้ชีวิตตามวิถีแท้จริงของชาวไทยวนมาแต่ครั้งโบราณ
นอกจากนี้ยังได้รวบรวมสถานที่และสิ่งของ อาทิ เรือนของเจ้าเมืองสระบุรี เรือนของพันตรีหลวงจบกระบวนยุทธ์ เรือนของเสือคง โจรเลื่องชื่อในอดีตในจังหวัดสุพรรณบุรี ผ้าทอโบราณ เรือพื้นบ้านที่ใช้ลุ่มน้ำป่าสักและภาคกลางกว่า 20 ลำ
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ มีผู้สร้างละครและภาพยนตร์หลายค่าย มาถ่ายทำไปแล้วเป็นร้อย ๆ เรื่อง เช่น บุพเพสันนิวาส เจ้านาง แม่นาคพระโขนง ฯลฯ และกำลังจะมาถ่ายทำกันอีกหลายค่าย
ก่อนจบทริป คณะสื่อได้แวะชิม และช้อปของฝากกันที่ตลาดน้ำโบราณบ้านต้นตาล ตลาดพื้นบ้านวิถีไทยวน และไปไหว้พระที่วัดเขาแก้ววรวิหาร วัดที่รัชกาลที่ 4 เสด็จมาบูรณปฏิสังขรณ์ ให้มีสภาพสวยสมบูรณ์ และเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
………………….นี่คือของดีแค่ส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ของเมืองสระบุรี ที่ R-U-GO.COM ได้สัมผัสในการได้ออกมาร่วมสัญจรในครั้งนี้
thank a bunch : นายสุฤกษ์ ศิลปอนันต์ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสระบุรี